เรื่องสั้นหัดเขียน : รอยยิ้ม
รอยยิ้มของเขา
เสียงสำลักเสมหะจากผู้ป่วยเตียงหมายเลข 5 ดังขึ้นเป็นระยะ ขณะที่ชายร่างสูงผิวเข้ม ใบหน้าคมคายกำลังเสียบท่อดูดเสมหะเข้าไปในช่องที่ถูกเจาะไว้บริเวณลำคอ
ชายรูปร่างบึกบึนคนนั้นทำหน้าที่พยาบาลผู้ป่วยด้วยใบหน้านิ่งสนิท ฉันไม่เห็นแววตาของเขาที่จ้องมองไปยังร่างหญิงชราบนเตียงนอนจึงไม่รู้ว่าเขาอยู่ในความรู้สึกใดกันแน่ แต่มือข้างหนึ่งของเขากุมกระชับมือเหี่ยวย่นนั้นไว้แนบแน่น บางครั้งที่ฉันเห็นมือแข็งแรงนั้นบีบปลอบโยน มันทำให้ผู้เฝ้ามองอย่างฉันท่วมท้นในความรู้สึก
เขายังแหย่ท่อเข้าไปในรูเล็กๆนั้นต่อเนื่อง มือข้างหนึ่งที่หยิบยื่นความเจ็บปวดกับมืออีกข้างที่ปลอบประโลมไม่ห่าง เขาจะรู้สึกยังไงกันนะ
ฉันเห็นเขาตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ชายหนุ่มผู้มีรูปกายบึกบึนสมชายชาตรีสวมเสื้อกล้ามกางเกงยีนส์ขาเดบ ชายผู้มีเรือนผมสีแดงประกายทองยาวประบ่า สวมที่คาดผมสีดำตลอดเวลา
ฉันไม่เคยเห็นรอยยิ้มบนใบหน้านิ่งๆนั้น นอกจากบางครั้งที่เขาขยับริมฝีปากเอ่ยถามบางสิ่งกับพยาบาลเวร ฉันเพิ่งมารู้ทีหลังว่าหญิงชราคนนั้นผ่าตัดสมอง เธอต้องนอนแบ็บช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แม้แต่ขยับร่างกาย อีกนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้
ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมา เตียงหมายเลข 5 มีเพียงเขาพยาบาลเฝ้าไข้ เขาทำทุกอย่างเท่าที่ผู้พยาบาลคนนึงพึงกระทำ
เขายืนเสียบท่อดูดเสมหะให้ผู้ป่วยจนกว่าจะหมด เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ตั้งแต่ใบหน้าจรดฝ่าเท้า ด้วยกิริยานุ่มนวลอ่อนโยน เพียรทำกายภาพแขนขาให้ครั้งละเป็นชั่วโมงโดยไม่มีอาการเบื่อหน่าย และอีกหลายอย่างที่ทำให้เขาไม่ค่อยจะมีเวลาว่างมากนัก
ฉันเคยถามตัวเองหลายครั้งหากคนที่นอนบนเตียงนั้นคือใครสักคนที่ฉันรัก ฉันจะทำอย่างที่เขาทำได้ไหม และฉันไม่เคยกล้าตอบคำถามนั้นเลย ทำไมนะเหรอ ก็เพราะฉันกลัวคำตอบที่จะได้รับนะสิ เขาทำได้ยังไงกัน พยาบาลผู้ป่วยเพียงลำพังตลอดเวลาอันยาวนาน
มือใหญ่แข็งแรงยังคงลูบไล้เนื้อตัวคนบนเตียงด้วยสัมผัสอ่อนโยน สายตาของเขามองแน่วนิ่งไปที่ใบหน้าหญิงชรา แม้ฉันจะมองไม่เห็นแววตาคู่นั้น แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าภายในคงบรรจุด้วยความรู้สึกมากมายที่หากหญิงชราคนนั้นรับรู้ได้ โรคภัยซึ่งกำลังเบียดเบียนอยู่คงไม่มีผลต่อจิตใจเธอเลยสักนิด
แต่บางทีอาจไม่จำเป็นต้องรับรู้ด้วยสายตา แค่เพียงรอยสัมผัสที่ชายหนุ่มส่งผ่าน คงเพียงพอจะเป็นเหตุผลทำให้หญิงชราบนเตียงผู้ป่วยยังคงมีชีวิตอยู่
หลายครั้งที่เราบังเอิญสบสายตากันแล้วต่างเมินหลบ ไม่รู้ทำไมเขาจึงหลบสายตา แต่สำหรับฉันไม่ได้รู้สึกอายสักนิดที่ถูกจับได้ว่ากำลังแอบมองใครบางคน เพียงแต่เกรงเขาจะรู้สึกอึดอัดที่รู้ว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ต่างหาก
วันหนึ่งฉันเดินผ่านขณะเขานั่งทานข้าวกล่องบนม้านั่งริมระเบียงของอาคาร ฉันชะงักฝีเท้าในขณะที่เขาชะงักมือซึ่งกำลังตักข้าวเข้าปาก เพียงแวบเดียวที่ตั้งสติได้ฉันเดินผ่านเลยไปเหมือนไม่มีเขานั่งอยู่ตรงนั้น แต่ใจนี่สิ มันเต้นรัวเหมือนมีใครเข้าไปตีกลองอยู่ข้างใน จากหางตาฉันเห็นเขาทานข้าวต่อตามปกติ กับท่าทางเรียบๆ แบบนั้น อยากรู้จัง ในหัวใจจะมีใครเข้าไปตีกลองเหมือนกันหรือเปล่านะ?
ยามค่ำคืนฉันปูเสื่อนอนข้างเตียงหมายเลข 36 ซึ่งอยู่คนละฟากห้องกับเตียงหมายเลข 5 แต่ไม่เคยรู้เลยเขาจะหลับนอนยังไง เพราะฉันนอนขณะเขายังปรนนิบัติผู้ป่วยไม่เลิก ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะนอนก่อนฉัน และไม่เคยมีสักครั้งที่ฉันจะตื่นทันเขา หลายครั้งที่เคยนึกสงสัยว่าเขาได้นอนหลับพักผ่อนบ้างหรือเปล่า เพราะในระหว่างวันใบหน้านั้นส่อแววอิดโรยให้เห็นเสมอ
ตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น ฉันหลบออกไปเดินเล่นนอกห้องผู้ป่วย เห็นเขานอนขดตัวอยู่บนม้านั่งริมระเบียง ที่เก่าที่เขาเคยนั่งทานข้าว ฉันหยุดลงเบื้องหน้าเขา มองไปที่ใบหน้านั้นนิ่งนาน และได้แต่คิดว่า หากเขากำลังตื่นก็ดีสินะ ฉันจะได้ทักทายชวนเขาพูดคุย เขาคงตอบรับมิตรภาพจากฉันไม่ยาก แต่หากไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ? ...ฉันก็เพียงแค่ยักไหล่ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ไม่รับก็ไม่รับสิ
ขณะกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พลันคนที่ดูเหมือนว่านอนหลับอยู่บนม้านั่งนั้นลืมตาตื่น ฉันสะดุ้งตกใจ ทันทีที่ตั้งสติได้ฉันเยื้อนยิ้มส่งให้ แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นเพียงใบหน้าที่ขมวดคิ้วงุนงง ฉันตัดสินใจเดินหนีออกมาดื้อๆ
ก่อนนอนเขาปฏิบัติหน้าที่อย่างดีเหมือนเช่นทุกวัน ใบหน้านั้นยังเรียบสงบไม่เปลี่ยน ฉันนั่งมองเขาเพลินจนลืมตัว รู้สึกตัวอีกทีเมื่อสายตาของเขาหันมาทอสบด้วย ฉันเบือนหน้าหนี ไม่ได้เกรงเขาจะอึดอัดเหมือนทุกครั้ง แต่เป็นภายในฉันต่างหากที่กำลังอึดอัด ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายยิ่งไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน
ฉันปูเสื่อนอนเมื่อนาฬิกาบอกเวลาตีสอง ดึกกว่าทุกคืนที่เคยนอนตลอดเวลาเฝ้าไข้ หยิบโทรศัพท์มาเสียบชุดหูฟังเปิดเอฟเอ็มกลบเสียงพูดคุยจากเตียงข้างๆ นานพอควรที่ฉันหลับตาปล่อยเสียงเพลงผ่านเข้าหู จมจ่อมความคิดตนสู่ภวังค์
ฉันพลิกตัว ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพียงเพื่อจะมองว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ภายใต้เตียงนอนของผู้ป่วยที่เรียงรายอยู่ด้านบน เขาปูเสื่อนอนข้างเตียงหมายเลข 5 ตะแคงข้างมาทางฉัน เราสบตากัน คราวนี้ไม่มีใครหลบใคร
ฉันตาฝาดไปหรือเปล่านะ ที่เห็นว่า...เขากำลังยิ้มให้
++++
รอยยิ้มของเธอ
“นุช นุช ตื่นได้แล้วลูก เช้าแล้ว”
เสียงผู้ป่วยจากเตียงหมายเลข 36 ปลุกเรียกลูกสาวขี้เซาของนางให้ตื่นในทุกเช้า เช้านี้อีกเช่นกันที่เสียงนั้นดังเป็นรอบที่สองหญิงสาวร่างบางที่นอนขดตัวอยู่บนเสื่อข้างเตียงถึงได้งัวเงียลุกขึ้น พับผ้าเช็ดตัวผืนโตที่ใช้ห่มนอนขึ้นมาวางข้างหมอนมารดา ก่อนจะม้วนเสื่อเก็บเข้าที่ คุ้ยหาของบางอย่างในกระเป๋า แล้วลุกเดินไปเข้าห้องน้ำพร้อมกระเป๋าสีฟ้าใบเล็กในมือ มีผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวสะอาดพาดบ่า
ท่าทางเธอเหมือนคนละเมอมากกว่าจะตื่นเต็มตา ก็น่าเห็นใจอยู่หรอกกับผู้หญิงร่างบางที่ถูกทิ้งให้พยาบาลผู้ป่วยเพียงลำพังตลอดห้าวันที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ผมเคยเห็นผู้ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งพยาบาลผู้ป่วยบนเตียงหมายเลข 36 นั้น แต่ทันทีที่เธอมาถึง ผมก็ไม่เคยเห็นเขาอีกเลย
ผมรู้ก่อนหน้าเธอจะมาเพียงไม่กี่ชั่วโมงว่าคุณป้าบนเตียง 36 ผ่าตัดไส้ติ่ง เมื่อผ่าตัดเรียบร้อยแล้วก็ไม่น่าห่วงอะไรอีก รอให้แผลหายดี พักฟื้นอีกหน่อยก็กลับมาเดินได้ปร๋อ แต่ก็อย่างว่าคนแก่ๆ ร่างกายมักเข้าที่เข้าทางช้ากว่าพวกหนุ่มๆ สาวๆ อาจใช้เวลาพักฟื้นนานขึ้นอีกนิด
แต่เท่าที่ดู คุณป้าบนเตียง 36 อาการดีขึ้นเรื่อยๆ อีกหน่อยคงกลับบ้านได้ แล้ว...ผมกับเธอก็คงไม่ได้เจอกันอีก
ผมเจอเธอเมื่อห้าวันก่อน เธอเดินตัวปลิวตามหลังพี่ชายเข้ามา ก็ผู้ชายคนที่พยาบาลคุณป้าบนเตียง 36 ก่อนเธอจะมาถึงนั่นแหละ ไม่มีใครบอกผมหรอกว่าเธอกับผู้ชายคนนั้นเป็นพี่น้องกัน แต่ต่อให้เป็นใครดูก็ต้องคิดแบบผม ก็ใบหน้าของทั้งสองถอดออกมาจากบล็อกเดียวกันชัดๆ
ตั้งแต่วันนั้นผมก็เห็นเธอทุกวัน หญิงสาวหน้าหวานผู้มีรูปกายอรชรราวตุ๊กตาบาร์บี้ ผมสีดำขลับยาวสลวยถึงกลางหลัง มีกิ๊บสีชมพูติดผมตลอดเวลา
เธอพยาบาลผู้ป่วยบนเตียง 36 เป็นอย่างดี สองสามวันแรกที่ผมเห็น เธอคอยอังหน้าผาก ลูบคลำเนื้อตัวคนป่วย แล้วก็หาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ทุกๆชั่วโมง มาช่วงหลังนี่แหละที่เธอไม่ค่อยได้ทำแบบนั้นอีก แต่ผมเห็นเธอมักนั่งคุยกะหนุงกะหนิงกับคนป่วยบนเตียงจนผมนึกอยากมีน้องสาวแบบเธอสักคน แม่คงไม่เหงาหากมีลูกสาวช่างคุยแบบนี้
เมื่อคนป่วยบนเตียงพักผ่อน ผมมักเห็นเธอนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ หรือไม่ก็ฟุบหน้าลงกับเตียงคนไข้มีหูฟังเสียบไว้ที่หูทั้งสองข้าง อยากรู้จังว่าเธอกำลังฟังอะไรอยู่ หรือเธอชอบฟังเพลงแนวไหน
บางครั้งที่ผมหันไปทางเธอแล้วเห็นว่าเธอกำลังมองผมอยู่ก่อนแล้ว ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองเลยว่าเธอนั่งมองผมอยู่นอกจากจะเป็นสายตาชั่วแวบที่เธอเพียงปัดผ่านมา
ผมต้องเมินหลบทันทีที่สบสายตาคู่นั้น ผมเกรงเธอจะเห็นประกายหวั่นไหวในแววตาของผม ผมเห็นว่าเธอก็เมินหลบเช่นกัน แต่คงไม่ใช่เหตุผลเดียวกัน เธอคงกลัวว่าผมจะคิดเข้าข้างตัวเองกระมัง
วันหนึ่งผมนั่งทานข้าวอยู่บนม้านั่งริมระเบียง เธอเดินผ่านมา เราทั้งสองต่างชะงัก เพียงชั่วแวบเดียวเธอก็ผ่านเลยไป ผมอยากชวนเธอทานข้าวด้วย แต่เสียงกลองที่กระหน่ำอยู่ในหัวใจทำให้ผมไม่กล้าเอ่ยปาก
บ่ายวันรุ่งขึ้นผมนอนหลับตาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยบนม้านั่งริมระเบียงที่เดิม รู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมอง ผมลืมตาขึ้น เห็นเธอยืนอยู่เบื้องหน้า มองมาที่ผมด้วยท่าทางประหลาด แล้วจู่ๆ เธอก็ยิ้ม ผมยิ่งงงหนัก ไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไรเธอก็เดินหนีไปซะดื้อๆ
คืนนี้เธอนอนดึกกว่าทุกคืนคงเพราะมัวนั่งเขียนอะไรยุกยิกอยู่นั่นแหละ อาจเป็นบันทึกประจำวัน ผมเห็นก่อนนอนเธอถือสมุดเล่มนั้นติดตัวไม่ยอมห่าง
เธอเสียบหูฟังเหมือนเคย ท่านอนหงาย หลับตา มือทั้งสองข้างกอดประสานบนหน้าอกนั้นคุ้นตาผมเสียแล้ว ผมเข้านอนหลังเธอไม่นาน ไม่รู้ว่าเธอหลับไปแล้วหรือยัง แต่ผมภาวนาขอให้เธอยังไม่หลับ ขอให้เธอหันมามองผม เพียงชั่วแวบเดียวก็ยังดี ผมอยากเห็นแววตาคู่นั้น อยากเก็บภาพเธอไปเข้าฝัน
นานทีเดียวกับการภาวนาของผม เธอพลิกตัว ลืมตาขึ้นมามอง บางทีเธออาจไม่ตั้งใจจะมองผม แต่ผมอยากเข้าข้างตัวเองสักครั้ง เราสบตากัน ผมยิ้มให้เธอ
ผมฝันไปหรือเปล่านะ ถึงได้เห็นว่า...เธอกำลังยิ้มตอบมา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น